ทำความเข้าใจกับโรคซิฟิลิส: อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
(All Gender Clinic) ผู้เขียนบทความ : นายแพทย์ มั่นจิตต์ ณ สงขลา
โรคซิฟิลิส (Syphilis)
ซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Treponema pallidum ซึ่งสามารถติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ช่องปาก หรือทางทวารหนัก โดยหากไม่รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางสุขภาพที่ร้ายแรง นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังสามารถถ่ายทอดจากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดซิฟิลิสแต่กำเนิดที่สามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ความเสียหายทางระบบประสาท ล้มเหลวของอวัยวะ การคลอดทารกตาย หรือทารกเสียชีวิตหลังคลอดได้ ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิสอาจไม่มีอาการที่สังเกตได้ชัดเจน หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้การวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการป้องกันซิฟิลิสสามารถทำได้โดยการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องและสม่ำเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
อาการของโรคซิฟิลิส
ซิฟิลิสแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะเริ่มต้น (Primary stage), ระยะสอง (Secondary stage), ระยะซ่อน (Latent stage) และระยะท้าย (Tertiary stage) โดยแต่ละระยะจะมีอาการที่แตกต่างกัน
ระยะเริ่มต้น (Primary stage):
• แผลเล็กๆ หรือแผลพอง (Chancre) บริเวณอวัยวะเพศ (อวัยวะเพศชาย ช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก) ซึ่งมักไม่เจ็บและอาจมีเพียงแผลเดียวหรือมากกว่า
• ต่อมน้ำเหลืองบวม (เช่น บริเวณคอ ขาหนีบ หรือรักแร้) มักเกิดขึ้นพร้อมกับแผล
ระยะเริ่มต้นโดยส่วนใหญ่แผลจะหายเองในเวลา 3-6 สัปดาห์ หากไม่รักษาโรคจะเข้าสู่ระยะที่สอง
ระยะสอง (Secondary stage):
• มีผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งอาจลามไปทั่วร่างกาย ผื่นมักจะไม่คัน
• การเติบโตของเนื้องอกสีขาวหรือสีเทา ซึ่งพบได้ที่อวัยวะเพศ ช่องคลอด หรือรอบๆ ทวารหนัก
• ต่อมน้ำเหลืองบวม
• มีไข้
• ปวดกล้ามเนื้อ
• ปวดหัว
• เบื่ออาหาร
• เจ็บคอ
• น้ำหนักลด
• ปวดข้อ
ซิฟิลิสระยะที่สองมักจะหายไปภายในไม่กี่สัปดาห์แม้ไม่รักษา แต่โรคจะเข้าสู่ระยะซ่อน
ระยะซ่อน (Latent stage): ในระยะนี้จะไม่มีอาการชัดเจน แต่แบคทีเรียยังคงมีอยู่ในร่างกาย หากไม่รับการรักษาจะสามารถติดเชื้ออยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายปี
ระยะท้าย (Tertiary stage): ระยะสุดท้ายจะปรากฏอาการเมื่อผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก อาการจะขึ้นอยู่กับส่วนของร่างกายที่ได้รับการติดเชื้อ เช่น ซิฟิลิสที่ส่งผลต่อหลอดเลือด (เช่น หลอดเลือดใหญ่โป่งพอง) หรือระบบประสาท (เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อัมพาต ความเสื่อมของประสาท) ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส:
• การตรวจเลือด
การป้องกันโรคซิฟิลิส:
• การใช้ถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์
• หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการของโรคซิฟิลิส
• ตรวจการติดเชื้ออย่างสม่ำเสมอ หากมีการมีเพศสัมพันธ์
• รับประทานยาสำหรับป้องกันหลังการสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อ (DoxyPEP)
ผู้ที่ควรตรวจหาโรคซิฟิลิส:
• ผู้ที่มีอาการของโรคซิฟิลิส
• คู่รักของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซิฟิลิส
• ผู้ที่มีเชื้อ HIV
• ผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย (MSM)
• ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับหลายๆ คน
• ผู้ที่ตั้งครรภ์ (ในการตรวจครั้งแรกของการฝากครรภ์)