5 โรคในเด็กที่เป็นกันบ่อย พ่อแม่ต้องเตรียมตัวรับมือให้พร้อม
(ศูนย์สุขภาพเด็ก) ผู้เขียนบทความ : ผู้ดูแล
เด็ก ๆ เป็นวัยที่เจ็บป่วยบ่อย เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรงและขาดความระมัดระวัง ทำให้ต้องเป็นขาประจำของโรงพยาบาลอยู่เสมอ ซึ่งโรคที่เด็ก ๆ เป็นกันบ่อย ๆ มักจะเป็นโรคติดต่อที่ระบาดในโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก พ่อแม่จึงควรเตรียมพร้อมในการป้องกันและรับมือโรคในเด็กที่พบเจอบ่อย ๆ ดังต่อไปนี้
1. โรคไข้หวัด
ไข้หวัด เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนบน เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นหนึ่งในโรคที่เด็กเป็นบ่อย เกิดขึ้นได้ทั้งปี เมื่อเจอเชื้อหรือภูมิตก โดยมากจะไม่มีอาการรุนแรง แพทย์มักจะใช้ยาตามอาการ อย่างยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาลดน้ำมูก
การติดต่อ
มักติดเชื้อผ่านละอองฝอยไอและจามจากผู้ป่วยเป็นไข้หวัด การหายใจรดกัน การสัมผัสเชื้อไวรัส แล้วไปขยี้ตา หรือหยิบของเข้าปาก ดังนั้น หากพบว่าเด็กเป็นไข้หวัดควรให้หยุดเรียนและแยกจากเพื่อน ๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค รวมถึงการใส่แมสก์ป้องกัน
อาการที่พบบ่อย
- ปวดหัว
- ตัวร้อน
- คัดจมูก
- หายใจไม่สะดวก
- ไอ จาม มีเสมหะ
- เจ็บคอ คอแห้ง
แนวทางการดูแลรักษา
แพทย์จะให้รับประทานยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ไอ หากมีไข้ คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็ดตัวได้ แนะนำให้เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ๆ และเช็ดแรง ๆ เพื่อช่วยระบายความร้อน หากมีไข้สูง แนะนำให้รีบพาไปพบแพทย์เพื่อป้องกันอาการชัก
2. โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา ซึ่งในไทยพบอยู่ 2 สายพันธุ์หลัก ๆ คือ สายพันธุ์เอและสายพันธุ์บี เป็นการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน มักแพร่กระจายในช่วงหน้าหนาวที่อากาศเย็น
การติดต่อ
ติดต่อกันผ่านลมหายใจ การไอ และการจาม และมักติดต่อในที่ชุมชน หรือมีคนจำนวนมาก รวมถึงโรงเรียนที่มีเด็กรวมตัวกันจำนวนมากอีกด้วย
อาการที่พบบ่อย
- ปวดหัว
- คัดจมูก มีน้ำมูก
- เป็นไข้สูงเฉียบพลัน
- มีอาการปวดเนื้อปวดตัวร่วมด้วย
- เบื่ออาหาร
- ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- บางรายอาจจะมีอาการท้องเสีย
แนวทางการดูแลรักษา
อันดับแรกแนะนำให้พาเด็ก ๆ ไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ประจำปี เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความรุนแรงของโรคเมื่อมีการติดเชื้อ
ในกรณีที่เป็นไข้หวัดใหญ่ แพทย์จะให้กินยาตามอาการ และยาต้านไวรัส ซึ่งยาต้านไวรัสจะต้องกินต่อเนื่องจนหมด หากเด็กมีไข้ แนะนำให้เช็ดตัวแรง ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิ
3. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปาก เป็นหนึ่งในโรคฮิตของเด็กเล็ก มักพบในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี เกิดจากไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส สร้างความทรมานและเจ็บปวดให้แก่เด็ก ๆ แม้จะไม่ใช่โรคในเด็กที่อันตราย แต่ผู้ปกครองก็ควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อน
การติดต่อ
ติดต่อผ่านระบบทางเดินอาหารและการหายใจ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือสัมผัสผ่านของเล่น อาหาร และน้ำ ในช่วงหน้าฝนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
อาการที่พบบ่อย
- มีตุ่มใส ๆ แตกเป็นแผลบริเวณลิ้น เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และคอ บางคนอาจจะมีผื่นตามฝ่ามือ เท้า ก้น และอวัยวะเพศ
- บางรายอาจจะมีไข้สูง ให้ผู้ปกครองเฝ้าระวัง และรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อป้องกันการชัก
- เจ็บปาก ไม่อยากอาหาร
แนวทางการดูแลรักษา
โรคนี้ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่จะเป็นการรักษาตามอาการ โดยแพทย์จะจ่ายเป็นยาลดไข้ ยาแก้ปวด หรือยาชาสำหรับแผลในปาก ส่วนมากจะมีอาการประมาณ 2-3 วัน และจะหายหลังผ่านไป 1 สัปดาห์
พ่อแม่และผู้ปกครองอาจจะต้องให้เด็กรับประทานอาหารอ่อน ๆ และหากว่ามีอาการรุนแรงหรือแทรกซ้อน ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน
4. โรคไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกิ มียุงลายเป็นพาหะ เป็นโรคที่เด็กเป็นบ่อยในช่วงหน้าฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีน้ำขัง อาจจะโดนยุงกัดได้ คุณพ่อคุณแม่ควรจะป้องกัน โดยการกำจัดลูกน้ำและยุงลายบริเวณบ้าน ฉีดสเปรย์กันยุงเมื่อต้องออกไปข้างนอกเสมอ
ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก สามารถฉีดได้ตั้งแต่ อายุ 4 ปี (ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน) หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยการฉีดวัคซีนป้องกันไว้จะดีที่สุด
การติดต่อ
มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยนำเอาเชื้อจากผู้ป่วยที่มีระยะไข้ไปกัดคนอื่น ทำให้ป่วย ซึ่งมักจะแสดงอาการป่วยหลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว 3-15 วัน
อาการที่พบบ่อย
- ไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส และไม่ค่อยตอบสนองต่อยาลดไข้
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
- มีผื่นแดงตามตัว มีเลือดออกตามไรฟัน หรือพบเลือดปนมากับอุจจาระหรือปัสสาวะ
- ปวดท้องรุนแรง
ในกรณีที่ไข้สูงต่อเนื่องและหลายวัน ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะช็อกตามมาได้เช่นเดียวกัน
แนวทางการดูแลรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสเดงกิโดยเฉพาะ จึงเป็นการรักษาตามอาการ อย่างยาลดไข้ และการเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แนะนำให้กินยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น เพราะยาลดไข้บางตัวอาจจะทำให้เกิดภาวะเลือดออกมากขึ้น
ยาที่ห้ามรับประทานเพื่อลดไข้ ได้แก่ ยาแอสไพริน และยากลุ่ม NSAID หากไม่แน่ใจว่าเป็นอาการของไข้เลือดออกหรือไม่ ให้หลีกเลี่ยงไปเลยจะดีที่สุด
5. ท้องร่วง
โรคท้องร่วง เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่มักขาดความระมัดระวัง ลืมล้างมือ และชอบหยิบของเข้าปาก ทำให้อาจจะติดไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้ท้องร่วงได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จึงควรสอนเรื่องสุขอนามัยให้เด็กโต และระมัดระวังสิ่งของรอบ ๆ ตัวเด็ก เพื่อลดโอกาสของการเป็นโรคท้องร่วง
การติดต่อ
มักเกิดจากการได้รับเชื้อโรคเข้าปาก ผ่านทางอาหารที่รับประทาน หรือรับประทานอาหารค้างคืนหรือทิ้งเอาไว้นานจนเกินไป
อาการที่พบบ่อย
- ถ่ายอุจจาระเหลว มากกว่า 2 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นมูกเลือด
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีไข้สูงร่วมด้วย
หากเด็กถ่ายเหลวหลายครั้ง และอาการไม่ทุเลาลง แนะนำให้รีบมาพบแพทย์ เพราะอาจจะทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่จนช็อกได้
แนวทางการดูแลรักษา
หากอาการไม่รุนแรงมากนัก แนะนำให้กินเกลือแร่ หรือนมตามปกติ ในเด็กโตแนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ปรุงสุกใหม่
ในกรณีที่อาการรุนแรง แนะนำให้รีบมาพบแพทย์ โดยแพทย์จะจ่ายยาตามอาการ และอาจจะต้องให้น้ำเกลือ ขึ้นอยู่กับอาการและการวินิจฉัยของแพทย์
หากว่าเด็ก ๆ ป่วย อย่านิ่งนอนใจ ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรรีบพามาพบแพทย์โดยด่วน เรามีคลินิกสุขภาพเด็กที่โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดูแลสุขภาพของเด็กเป็นการเฉพาะโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่มีความเชี่ยวชาญสูง พร้อมด้วยเครื่องมือที่ครบครัน เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
นัดหมายเพื่อพบแพทย์ได้ที่ ศูนย์สุขภาพเด็ก อาคาร A ชั้น 2 โรงพยาบาลสมิติเวชชลบุรี เบอร์โทรศัพท์ 033-038955
ข้อมูลอ้างอิง :
- โรคที่มากับฤดูหนาว ตอนที่ 1: ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 จาก https://www.pidst.or.th/A289.html
- โรคมือเท้าปาก. . สืบค้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 จาก https://www.pidst.or.th/A297.html