Screening tests reduce the risk of cervical cancer
(Obstetrics & Gynecology Center) article author : Admin
“มะเร็งปากมดลูก” เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย แต่อย่าเพิ่งกังวลไป ! หากตรวจพบไวก็อาจป้องกันและรักษาได้อย่างทันท่วงที บทความนี้จะมาแนะนำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษา และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น
ตรวจมะเร็งปากมดลูกคืออะไร สำคัญยังไง ?
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เปรียบเสมือนด่านแรกในการต่อสู้กับโรคร้ายที่ช่วยให้สามารถจัดการกับโรคได้ไว โดยผู้หญิงที่อายุถึงเกณฑ์ทุกคนต้องตรวจคัดกรอง เนื่องจากมีความสำคัญดังนี้
-
ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก
บางคนอาจคิดว่าหากอายุยังไม่มาก ไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงและยังมีสุขภาพแข็งแรงดี ก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจคัดกรอง แต่แท้จริงแล้วผู้หญิงทุกคนล้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก การตรวจคัดกรองจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่อาจกลายเป็นมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
-
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่ส่งผลร้าย
มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพและการใช้ชีวิต ซึ่งอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด รวมถึงความยากลำบากในการรักษาเมื่อโรคลุกลาม นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่โรคจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น การตรวจคัดกรองตั้งแต่เริ่มจึงสามารถป้องกันและรักษาให้หายก่อนที่โรคจะไปถึงขั้นร้ายแรงนี้ได้
-
มะเร็งปากมดลูกมักไม่แสดงอาการในระยะแรก
หนึ่งในความน่ากลัวของมะเร็งปากมดลูก คือมักไม่แสดงอาการที่สังเกตเห็นได้ชัดในระยะแรก จนกระทั่งโรคเข้าสู่ระยะที่เป็นมากแล้ว ซึ่งอาจทำให้การรักษาเป็นไปได้ยากหรือหลายขั้นตอนมากขึ้น ดังนั้น การตรวจคัดกรองเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ตรวจพบโรคได้ก่อนที่อาการจะแสดงออกมา ทำให้สามารถรับการรักษาได้ทันที
ตรวจมะเร็งปากมดลูก ต้องอายุเท่าไหร่ ?
ความถี่ในการตรวจคัดกรองขึ้นอยู่กับอายุและปัจจัยเสี่ยง ซึ่งจากคำแนะนำในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ได้ให้คำแนะนำว่าอายุที่ควรตรวจได้แก่ 30 ปี แต่อาจเริ่มตรวจได้ตั้งแต่ 25 ปีตามความเหมาะสม โดยควรตรวจคัดกรองทุก 2-3 ปี หรือตรวจร่วมกับการตรวจหาเชื้อ HPV
ตรวจมะเร็งปากมดลูก มีกี่แบบ ?
ตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)
การตรวจแปปสเมียร์ เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบดั้งเดิม โดยเป็นการตรวจทางเซลล์วิทยาที่แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่างเซลล์จากปากมดลูก แล้วนำมาตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของเซลล์ ซึ่งอาจนำไปสู่มะเร็งได้ในอนาคต การตรวจแปปสเมียร์มีข้อดีที่สำคัญ คือสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้มีโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากขึ้น แต่ผลตรวจอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น การติดเชื้อ การอักเสบ หรือการมีเลือดออก
ตรวจตินแพร็พ (Thin Prep)
การตรวจตินแพร็พได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากการตรวจแปปสเมียร์ โดยมีการปรับปรุงขั้นตอนการเก็บและเตรียมตัวอย่างเซลล์ เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่มีความแม่นยำมากขึ้น โดยจะใช้สารละลายพิเศษในการเก็บตัวอย่าง เพื่อให้เซลล์กระจายตัวบนแผ่นสไลด์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่เซลล์จะจับตัวกันเป็นกลุ่ม ทำให้แพทย์สามารถตรวจสอบเซลล์ที่ผิดปกติได้ชัดเจนมากขึ้น การตรวจตินแพร็พมีความไวและความแม่นยำสูงกว่าการตรวจแปปสเมียร์แบบเดิม จึงเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
ตรวจ DNA (Thin Prep Plus HPV DNA)
การตรวจ DNA หรือที่เรียกว่า Thin Prep Plus HPV DNA เป็นการตรวจที่รวมเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ ทำให้สามารถตรวจได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยการตรวจนี้จะรวมการตรวจตินแพร็พเข้ากับการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV (Human Papillomavirus) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูก เพื่อให้สามารถระบุถึงความเสี่ยงที่ผู้หญิงจะเป็นมะเร็งปากมดลูกได้แม่นยำยิ่งขึ้น เนื่องจากเชื้อ HPV เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์ในปากมดลูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็ง การตรวจ Thin Prep Plus HPV DNA จึงเป็นวิธีที่มีความครบถ้วนและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการคัดกรองและป้องกันมะเร็งปากมดลูก
การตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้หญิงทุกคน เพื่อให้สามารถรับการรักษาได้อย่างทันท่วงที สนใจตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปีตามข้อกำหนด เลือกใช้บริการโปรแกรมตรวจมะเร็งบริเวณปากมดลูกที่มีมาตรฐานและครบวงจรมากที่สุด โดยเน้นการตรวจค้นหาความเสี่ยงก่อนเกิดโรค เพื่อสังเกตอาการ รวมถึงยังสามารถให้บริการฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี โทร. 033-038924
ข้อมูลอ้างอิง:
แนวทางการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาโรคมะเร็งปากมดลูก. สืบค้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 จาก https://www.nci.go.th/th/cpg/TextBookมะเร็งปากมดลูก.pdf